Environment




  • Natural Disaster ภัยธรรมชาติ
  • Earthquake แผ่นดินไหว
  • Quake แผ่นดินไหว
  • Tremor การสั่นไหว
  • Tsunami คลื่นยักษ์สึนามิ
  • Tidal Waves คลื่นใต้น้ำ
  • Disaster Area เขตประสบภัยพิบัติ
  • Catastrophe ความหายนะ
  • Destruction การทำลาย
  • weather forecast?พยากรณ์อากาศ
Tropical Cyclone พายุหมุนเขตร้อน เป็นพายุที่เกิดขึ้นแถบเส้น Tropics แบ่งออกเป็น
  • พายุไซโคลน (Cyclone) เป็นพายุหมุนที่เกิดในอ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดีย
  • พายุเฮอริเคน (Hurricane) เป็นพายุหมุนที่เกิดในชายฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก
  • พายุวิลลี-วิลลี (Willy-Willy) เป็นพายุหมุนที่เกิดในแถบนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย
  • ไต้ฝุ่น (Typhoon) เป็นพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรแฟซิฟิค
  • พายุบาเกียว (Baguio) เป็นพายุที่เกิดขึ้นในหมู่เกาะฟิลิปปินส์
  • พายุทอร์นาโด (Tornado)?เป็นพายุหมุนที่มีแหล่งกำเนิดบนบก
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ ภัยพิบัติน้ำท่วม?ภัยแล้ง
  • Thunderstorm พายุฝนฟ้าคะนอง
  • Flood น้ำท่วม
  • Drought ทุพภิกขภัย / ภัยแล้ง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ ภัยพิบัติภูเขาไฟ
  • Volcano ภูเขาไฟ
  • Lava ลาวา (หินหลอมละลายที่ถูกพ่นจากปล่องไฟ)
  • Volcano Eruption การระเบิดของภูเขาไฟ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ ภัยพิบัติหิมะ
  • Avalanche หิมะถล่ม
  • Blizzard พายุหิมะ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ ภัยพิบัติอื่น ๆ
  • Lightening ฟ้าผ่า
  • Mudslide โคลนถล่ม
  • Landslide แผ่นดินถล่ม
  • Forest Fire ไฟป่า
  • Hailstorm พายุลูกเห็บ
  • คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่พบในข่าวภัยพิบัติภาษาอังกฤษ
    • Sand Storm พายุทราย
    • Solar Flare การระเบิดที่ผิวดวงอาทิตย์
    • Global Warming ภาวะโลกร้อน
    • Refuge ที่หลบภัย
    • Refugee ผู้ลี้ภัย
    • Evacuee ผู้ลี้ภัย
    • Victim เหยื่อ ผู้เคราะห์ร้าย
    • Casualty จำนวนคนตาย ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
    • Death Toll ยอดผู้เสียชีวิต
    • Survivor ผู้รอดชีวิต
    • Quake (แผ่นดิน) ไหว
    • Devastate ทำลายล้าง
    • Cripple ทำลาย ทำให้ใช้การไม่ได้
    • Evacuate อพยพ
    • Obliterate ทำลายจนสิ้นซาก
    • Imperil เป็นอันตราย
    • Rescue ช่วยชีวิต ช่วยเหลือ
    • observatoryสถานีอุตุนิยมวิทยา
    • storm signalสัญญาณเตือนวาตภัย
    คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ?ฤดูกาล (Season)
    • Season ฤดูกาล
    • Summer ฤดูร้อน
    • Spring ฤดูใบไม้ผลิ
    • Fall, Autumn ฤดูใบไม้ร่วง
    • Winter ฤดูหนาว
    • Cold season  ฤดูหนาว
    • Hot season ฤดูร้อน
    • Rainy season ฤดูฝน
    • Rain  ฝน
    • dampชื้น
    • wetเปียก
    • Hot  ร้อน
    • Warm  อบอุ่น
    • Cold หนาว
    • Cool  เย็น
    • Freezing  เย็นจนแข็ง
    • Frost  น้ำค้างแข็ง
    • Snow หิมะ
    • Cloud เมฆ
    • Mist หมอก
    • Fog หมอกหนา
    • Hail ลูกเห็บ
    • Rainbow รุ้งกินน้ำ
    • Clear sky  ท้องฟ้าโปร่ง
    • Temperature  อุณหภูมิ
    • Fahrenheit องศาฟาเรนไฮต์
    • Celsius , Centigrade ?องศาเซลเซียส, เซนติเกรด
    คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ?ลมฟ้าอากาศ?
    • Cloudy  เมฆครึ้ม
    • Sunny มีแดด?,แดดจัด
    • Hazy มีหมอกบาง
    • Rainy  มีฝนตก
    • downpourฝนตกหนัก
    • Drizzle มีฝนปรอยๆ
    • Stormy มีพายุ
    • Muggy อบอ้าว
    • Thunder  ฟ้าร้อง
    • Lightning  ฟ้าแลบ
    • Typhoon  พายุไต้ฝุ่น
    • Tornado พายุทอร์นาโด 
    • ภาวะโลกร้อน
    •                                                   
    • ลูกเห็บตก
    •                                                                            
    • สึกนามิ
    •                                                                                                            
    • ฟ้าร้อง

      พายุไต้ฝุ่น

      นํ้าท่วม 

                                               ภัยแล้ง                                          

                                                                

    • ภัยพิบัติ ปฏิกริยา และผลกระทบ article

      ภัยพิบัติ มีความหมายครอบคลุมถึงภัยที่รุนแรง  เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น  ส่งผลกระทบต่อบุคคลเดียว หรือกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง  คือกระทบต่อความมั่นคงและ ความปลอดภัย ทำให้เกิดปัญหาต่อจิตใจอย่างรุนแรง     ซึ่งอาจเกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม  คลื่นสึนามิ หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การก่อการร้าย สงคราม  การข่มขืน เป็นต้น
                      ภัยพิบัติสามารถส่งผลกระทบต่อความเสียหายทางกายภาพที่เห็นได้ชัดเจน เช่น เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่ ขาดที่ทำกิน พิการ อุปกรณ์การทำงานสูญหาย กระทบต่อสภาพสังคม วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต รวมทั้งมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ประสบภัย
                      ทั้งๆที่ภัยพิบัติ เกิดขึ้นได้ทั้งในประเทศร่ำรวยพอๆกับประเทศยากจน  แต่ความหายนะที่เกิดกับคนในประเทศยากจนสูงกว่ามาก  ทั้งนี้เนื่องจากประเทศยากจนขาดแคลนระบบป้องกัน เตือนภัย เครื่องมือช่วยเหลือที่รวดเร็วทันสมัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งแผนการเตรียมการฉุกเฉินที่เพียบพร้อม ร่วมกับการสื่อสารและการขนส่งที่รวดเร็ว  รวมทั้งสภาพปัญหาแวดล้อมของประเทศยากจนไม่มั่นคงอยู่ก่อน เช่น ถนน เขื่อน บ้าน สุขภาพ  อาหาร  ส้วม ที่ไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย และได้รับผลกระทบในเรื่องโรคระบาด  การขาดอาหาร  สูงมาก  และส่วนหนึ่งมาจากการขาดประสิทธิภาพในการทำงานช่วยเหลือของภาครัฐบาล
                      อุบัติภัยสึนามิที่เกิดกับ 6 จังหวัดภาคใต้ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 พายุไซโคลนนาร์กิสถล่มประเทศพม่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2551 และ แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 เป็นกรณีศึกษาที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับทุกคน  ซึ่งทุกฝ่ายต้องเรียนรู้และพัฒนาขีดความสามารถในการให้ความช่วยเหลือสำหรับปัญหาอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต


      ปฏิกิริยาของผู้ประสบภัยหลังเกิดภัยพิบัติ

      นอกจากจะเป็นผู้สูญเสียชีวิต คนรัก ทรัพย์สิน ที่พักอาศัย เครื่องมือทำมาหากินและได้รับบาดเจ็บทางร่างกายแล้ว   ยังมีภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นในตัวผู้ประสบภัย  ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะ    คือ

      ระยะที่ 1      ตั้งแต่ตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์จนถึง 14 วันแรก   ระยะแรกจะเป็นช่วงที่คนทั่วไปอยู่ในภาวะตื่นตระหนก ตกใจ เฉยเมย  ไม่ยินดียินร้าย  มึนชา เหมือนอยู่ในความฝัน ไม่เชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าสามารถทำลายชีวิตและทรัพย์สินมากมาย             จากนั้นจะเป็นช่วงที่หลายคนร่วมกันทำงานเป็นอย่างดี Heronic phase) ให้ความใส่ใจและเต็มใจในการช่วยชีวิต  ช่วยเหลือคนอื่นและดูแลทรัพย์สินของตนเอง เป็นผลให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมากและตื่นตัว 
      ระยะที่ 2       อยู่ในช่วง 2  6 สัปดาห์  ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาลและองค์กรเอกชนมากมายทั้งตรงและไม่ตรงกับความต้องการ  แต่ก็ทำให้มองเห็นโอกาสในการสร้างชีวิตและสร้างฐานะขึ้นมาใหม่ honeymoon phase) มีจินตนาการในการสร้างอนาคตใหม่อย่างสวยงามถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่สูญเสียมากมาย
      ระยะที่ 3       เป็นภาวะที่มองเห็นตามความเป็นจริง   เกิดขึ้นในช่วงกลางมีระยะเวลานานตั้งแต่ 2 เดือน  ปีหรือนานกว่า  ผู้ประสบภัยจะมองเห็นว่าความช่วยเหลือและการกลับคืนสภาพแบบเดิมล่าช้า  เกิดความล้มเหลวซ้ำซาก  และเริ่มมองเห็นความเป็นจริงในการสร้างตัวเองใหม่ในวิถีทางที่พึ่งตนเองมากที่สุด  ค้นพบความเข้มแข็งในตนเอง  หลุดจากภาพลวงตา และความหวังที่จะพึ่งคนอื่น
      ระยะที่ 4        เป็นภาวะที่กลับมาสู่ความปกติสุขอีกครั้ง   ทั้งในส่วนของบุคคลและชุมชน   ระยะนี้ใช้เวลาหลายปี

      จากทั้ง 4 ระยะที่กล่าวมา  ผู้ประสบภัยต้องทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ  จิตใจหวั่นไหว ซึมเศร้า ท้อแท้ เครียด วิตกกังวล  ท้อแท้  พบพฤติกรรมแยกตัว ก้าวร้าว  รู้สึกไม่ปลอดภัย และมีปัญหาสุขภาพได้ง่าย  สมาธิและความสนใจต่อคนรอบข้างลดลง  ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นทีอยู่ในบ้านเดียวกันได้ง่าย

      ปฏิกิริยาของพ่อแม่ต่ออุบัติภัยในเด็ก
                     
      Elizabeth Kubler-Ross ศึกษาปฏิกิริยาของพ่อแม่ที่มีต่อความตายของลูกที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด ซึ่งสรุปพบลักษณะได้ แบบ และลักษณะเหล่านี้อาจเกิดกลับไปกลับมาได้(3,17)  คือ
      1.        shock and denial มีอาการเงียบเฉย เบลอ งง เฉยชา ขาดการตอบสนองกับสิ่งแวดล้อม และปฏิเสธความเป็นจริง
      2.        anger โกรธ อึดอัด หงุดหงิด กล่าวโทษผู้อื่น
      3.        bargaining เปลี่ยนที่รักษา เจรจาต่อรอง ติดสินบนกับคนอื่นๆรวมทั้งการทำบุญ ทำความดีเพิ่มขึ้นเพื่อขออำนาจบางอย่างจากพระ
      4.        depression
      5.        acceptance

      ความเครียดสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิตของพ่อแม่คือ การตายของลูก    ถ้าลูกตายเฉียบพลันด้วยแล้ว พ่อแม่จะมีปฏิกิริยาได้สูง  พบความรู้สึกโกรธ รู้สึกผิด เศร้าหรืออาจปฏิเสธการตายของลูกได้  เก็บตัว หลีกหนีสังคม  ทุ่มเทความคาดหวังที่มีต่อลูกที่ตายไปยังลูกอีกคนหนึ่ง  อาจเพื่อเป็นการชดเชยโดยการตามใจเพิ่มขึ้น ดูแลระแวดระวังภัยจนเกินเหตุ เข้ามาช่วยเหลือจนอาจขัดกับการพัฒนาการของลูกที่เหลือได้

      พ่อแม่ที่มีอารมณ์เศร้า เป็นเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญว่าจะเกิดปัญหาในเด็กก่อนวัยเรียนได้  ความเครียดเกิดขึ้นได้มากในครอบครัวที่สูญเสียทรัพย์สิน ที่พัก เครื่องมือทำมาหากิน  โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับภาระหนัก  เหนื่อยทั้งกายและจิตใจ จึงพบพฤติกรรมก้าวร้าว แยกตัว หงุดหงิด กังวล ซึมเศร้า ใช้เหล้าและยาเสพติดได้เพิ่มขึ้น  ทิ้งไว้นานๆโดยมิได้รับความช่วยเหลือจะเกิดความไม่เข้าใจกันของคนในครอบครัวได้

      ผลกระทบของภัยพิบัติต่อคนในชุมชน

      1. ผู้ประสบภัย นอกจากจะเป็นผู้สูญเสียชีวิต คนรัก ทรัพย์สิน ที่พักอาศัย เครื่องมือทำมาหากินและได้รับบาดเจ็บทางร่างกายแล้ว   ยังมีภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นในตัว
       2.  ครอบครัวและชุมชน
                      วิถีชีวิตในชุมชนเป็นสิ่งที่พัฒนามานาน  ประกอบด้วยความรัก ความผูกพัน ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นวัฒนธรรมประเพณีในการใช้ชีวิตร่วมกันของคนในชุมชมถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง  ถือว่าเป็นเกราะป้องที่สำคัญแก่คนในชุมชนนั้นๆ   ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเช่นกรณีสึนามิ ใช้เวลาไม่นานแต่ทำลายวิถีชีวิตของชุมชนอย่างรวดเร็ว  ผู้คนกระจัดกระจาย  แยกตัว สับสน และต่างคนต้องเอาตัวเองให้อยู่รอด   วัฒนธรรม ประเพณี ของชุมชนถูกทำลายสิ้นในพริบตา  การพลัดพรากจากคนและของที่รัก  ขาดที่อยู่  สูญเสียทรัพย์สิน ตกงาน ขาดรายได้ ฯลฯ ส่งกระทบผลโดยตรงต่อตัวบุคคล ครอบครัวและสังคมอย่างรุนแรงและยาวนาน  ทำให้พบการหย่าร้างเพิ่มขึ้น  ในบ้านมีความก้าวร้าว คนหงุดหงิด ซึมเศร้า  เด็กถูกทำร้าย   เด็กขาดเรียน  ขาดทรัพยากรทุกรูปแบบและมักได้รับความช่วยเหลือที่ไม่ตรงตามความต้องการเฉพาะตัว
                      เมื่อหน่วยช่วยเหลือที่หลั่งไหลเข้ามาช่วยในรูปแบบต่างๆกัน  ซึ่งอาจช่วยเหลือได้จริง  หรืออาจเป็นตัวสร้างความยุ่งยากให้กับคนในชุมชนเพิ่มขึ้น   เช่น มีระบบ วิธีการที่ซับซ้อนและไร้สมรรถภาพในการแก้ปัญหาที่มีอยู่  เช่น เรื่องที่พัก เครื่องมือทำกิน  พื้นที่สิทธิ์ตามกฎหมาย ฯลฯ  หรือพวกฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   ทั้งหมดจะสร้างความเดือนร้อนซ้ำให้กับคนและชุมชน  หรือเรียกว่า  second disaster
       3. ผู้ช่วยเหลือในชุมชน
              ในสภาพหลังเกิดภัยพิบัติ  จะมีผู้ตาย ผู้บาดเจ็บ ผู้หลงทาง ถูกพลัดพรากจากกันมากมาย  เป็นสภาพที่กดดันทางอารมณ์  สภาพแวดล้อมเกือบทุกแห่งในพื้นที่เกิดเหตุจะยุ่งเหยิง  ผู้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ทำงานในชุมชนทำงานหนักเกินกำลังโดยที่ขาดระบบบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ  จะทำให้เกิดความผิดพลาด ซ้ำซ้อน สับสน วุ่นวาย  รวมทั้งต้องเผชิญหน้ากับทีมช่วยเหลือที่หลากหลายรูปแบบที่หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ และหลากหลายความต้องการที่เรียกร้องเอาจากคนในพื้นที่
        จึงพบว่าผู้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ เช่น เจ้าหน้าที่ ครู ประชาชนในจังหวัดต้องทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ  จิตใจหวั่นไหว ซึมเศร้า ท้อแท้ เครียด วิตกกังวล  ท้อแท้  พบพฤติกรรมแยกตัว ก้าวร้าว  รู้สึกไม่ปลอดภัย และมีปัญหาสุขภาพได้ง่าย  สมาธิและความสนใจต่อสิ่งต่างๆลดลง   หลายคนที่มีทัศนคติต่อวิธีการทำงานในด้านลบเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะคนในระบบราชการ 

      ผลกระทบของภัยพิบัติต่อเด็กและวัยรุ่น

                      ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ภัยพิบัติมาพร้อมกับความตายต่อหน้าต่อตาของผู้เป็นที่รักหรือบุคคลใกล้ชิด  การที่ต้องเผชิญภาพเหตุการณ์ที่น่ากลัว  ใกล้ชิดกับความตายมิใช่เรื่องที่จะทำใจให้ยอมรับได้ง่ายโดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็น พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่าตายาย เพื่อนสนิท ครู เพื่อนบ้าน แฟน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง   นอกจากเด็กและวัยรุ่นจะสูญเสียความสัมพันธ์กับคนที่รักแล้ว  ยังสูญเสียสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย  ปลอดภัยและเป็นสุข  และสูญเสียความมั่นคงของชีวิต ความสูญเสียหลายอย่างมองเห็นได้ชัด แต่ความสูญเสียอีกหลายอย่างที่เป็นนามธรรมก็มีมาก  เช่น ความมั่นคง  ความอบอุ่นทางจิตใจ ความรักความผูกพัน โอกาสสนุกสนาน
      แต่เด็กและวัยรุ่นจำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใหญ่และต้องการสภาพแวดล้อมที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับเป็นรากฐานสำหรับการเติบโตและพัฒนาการที่สมบูรณ์       การสูญเสียดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการสูญเสียที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาการที่สมบูรณ์    ยิ่งถ้าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคงเป็นเวลานาน เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครองยังสับสน หวั่นไหว ไม่เข้าที่ ไม่มีเวลา ขาดการดูแลเอาใจใส่  คุณครูทำงานหนักหลายด้าน  ขาดการสอน  ฯลฯ จะยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กได้รุนแรงและยาวนาน

      ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กและวัยรุ่นจะมีความรุนแรงเพียงใดขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้   
      ·     ภัยพิบัติ ได้แก่ ความรุนแรง ความต่อเนื่อง และขอบเขตความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเด็ก เช่น เสียพ่อแม่ พิการ เป็นต้น
      ·     ตัวเด็ก  ได้แก่ อายุ ระดับสติปัญญา ความสามารถในการปรับตัวและลักษณะของเด็กแต่ละคน ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นคล้ายผู้ใหญ่  เพียงแต่เด็กและวัยรุ่นมีความสามารถในการแสดงออกและอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจความรู้สึกได้ลำบาก อาการแสดงออกยังมีความแตกต่างไปตามอายุ เช่น
      -  วัยทารกยังไม่เข้าใจปัญหาแต่รับรู้ผ่านคนเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิม
      -  วัยอนุบาล  พบอาการฝันร้าย  เบื่ออาหาร จะเรียกร้องสูง  ติดพ่อแม่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมถดถอยเป็นเด็กต่ำกว่าวัย ก้าวร้าวอารมณ์หวั่นไหว ตกใจ หวาดกลัว  กังวลต่อการพลัดพราก ซึมเศร้า หากสูญเสียพ่อแม่หรือเกิดการเปลี่ยนผู้ดูแลหลายคนจะส่งผลกระทบต่อการสร้างความรักความผูกพันระหว่างเด็กกับผู้ดูแลได้
      -  วัยเรียน มีอาการคล้ายวัยอนุบาล  มีพฤติกรรมถดถอย ไม่ยอมไปโรงเรียน ขาดสมาธิ ดื้อ ต่อต้าน ก้าวร้าว แยกตัว  ย้ำคิดย้ำทำ ไม่มั่นใจ กังวล  มีความกลัวเพิ่มขึ้น  รู้สึกผิดที่รอดชีวิต ซึมเศร้า มีอาการทางกายที่หาสาเหตุไม่ได้ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง  ปรับตัวให้เข้ากับสภาพใหม่ได้ลำบาก
      -  วัยรุ่น   มีอาการคล้ายกับเด็กวัยเรียนแต่รุนแรงกว่า   มีพฤติกรรมแยกตัวเพิ่มขึ้น พฤติกรรมเสี่ยง เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติด มีเพศสัมพันธ์  หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มากระตุ้นความรู้สึกสะเทือนใจ  ซึมเศร้า  ไม่แสดงอารมณ์  ทำร้ายตัวเอง  ต่อต้านสังคม
      ·     ครอบครัว  ปัญหาเดิมที่เคยมีในครอบครัว ส่งผลต่อการปรับตัวของคนในครอบครัว ครอบครัวที่อบอุ่น ใกล้ชิด มีการสื่อสารที่ชัดเจน มักฟื้นตัวได้เร็ว  ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กได้
      ·     สังคม ชุมชน โรงเรียน  วัด   ชุมชนที่เข้มแข็ง ผู้นำที่ดี  มีระบบปกป้องอันตราย  มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  คุณครูที่เข้าใจและมีเวลาให้เด็กและวัยรุ่น  มีกิจกรรมให้แสดงออกอย่างเหมาะสม  ใช้ศาสนามาช่วยฟื้นฟูจิตใจ  ฯลฯ ทั้งหมดจะช่วยให้สภาพแวดล้อมกลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว   มีความสำคัญยิ่งต่อการเติบโตและพัฒนาการของเด็กและวัยรุ่น

      ที่มา: สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี    
                                                                    

      การป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติ

      ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินแก่มวลมนุษยชาติอย่างมหาศาล ภัยธรรมชาติเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนในเรื่องความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตแก่ประชาชนในหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุด ในกรณีของพายุไซโคลนนาร์กีสที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า ในพื้นที่ 55 เมืองแถบที่ลุ่มปากแม่น้ำอิระวดีและพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งโดนไซโคลนถล่ม พบว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 63,290-101,682 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้สูญหายประมาณ 220,000 คน ในขณะที่จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากพายุมีอยู่ถึงประมาณ 1,215,885-1,919,485 คน ก่อนหน้านี้ไม่นาน ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.8 ริกเตอร์ ในประเทศจีน ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนเกือบสามหมื่นคน เมื่อย้อนกลับไปไม่นาน เราก็จะพบภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเกิดพายุไต้ฝุ่น ldquo;ทุเรียนrdquo; ที่พัดถล่มเมืองบิโคล ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2006 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนถึง 1,200 คน หรือในกรณีพายุไซโคลน ldquo;ซิดร์rdquo; ที่ถล่มบังคลาเทศ ในปีถัดมา ก็ได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 3,000 คน สถานการณ์เหล่านี้ได้ย้ำให้เห็นถึงความร้ายแรงของมหันตภัยของภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
       เหตุภัยพิบัติเหล่านี้ส่งผลทั้งความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบที่มีต่อสภาพจิตใจของผู้ที่รอดชีวิต ซึ่งหากจะตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจก็มีจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ ในหลายกรณี ผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนไปยังประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้าง ดังเช่น กรณีของคลื่นสึนามิเมื่อปี 2547 ความตระหนักในมิติเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนนี้ ทำให้ประเด็นเรื่องการป้องกันภัยธรรมชาติได้รับความสนใจจากนานชาติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร่วมมือกันป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติในระดับโลก
      องค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้เกิด International Strategy for Disaster Reduction หรือ ISDR ที่มีวัตถุประสงค์หลักที่การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติเพื่อการป้องกันและการลดภัยพิบัติทางธรรมชาติร่วมกัน นอกจากนี้ ในภูมิภาคเอเชียยังมี Asian Disaster Preparedness Center ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs, World Metrological Organization และ United Nations Development Programme การมีองค์กรและหน่วยงานมากมายที่ล้วนแต่เห็นความสำคัญของการดำเนินการป้องกันและลดภัยพิบัติธรรมชาติเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เห็นว่าประเทศต่าง ๆ และรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ต่างก็เห็นสอดคล้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาร่วมมือกันการหาทางป้องกันและลดภัยพิบัติธรรมชาติความร่วมมือในการป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติในระดับโลกเช่นนี้ หากจะเกิดผลดี จำเป็นจะต้องตั้งอยู่บนฐานคิดที่เหมาะสม นั่นคือ (1) ต้องสร้างการป้องกันความปลอดภัยทุกรูปแบบ ภัยธรรมชาติที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม คลื่นยักษ์ ไฟป่า การสร้างระบบป้องกันยังควรครอบคลุมภัยหรือเหตุร้ายที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วย (2) สร้างความปลอดภัยตลอดทั้งกระบวนการ คือเป็นการวางระบบป้องกันภัยให้ครบตั้งแต่การเฝ้าระวัง การเตือนภัย การป้องกันภัย และแก้ปัญหาเมื่อเกิดภัย ซึ่งแต่ละภาคีความร่วมมืออาจมีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ตามความรับผิดชอบและความสามารถในการดำเนินร่วมกันอย่างเป็นระบบ และ (3) สร้างความปลอดภัยแบบครบวงจร กล่าวคือ การมองหายุทธวิธีอื่น ๆ ที่จะมีช่วยให้การป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อจูงใจผู้ที่ให้ความร่วมมือในการแก้และป้องกันภัยพิบัติ ในขณะที่มีบทลงโทษผู้ที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติ เช่น ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราสูง ซึ่งนอกเหนือจากการจัดตั้งตลาดซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว น่าจะได้มีการพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด โดยนำเงินเข้ากองทุนโลกเพื่อการป้องกันภัยธรรมชาติ หรือการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในสินค้านำเข้าที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่ามาตรฐาน ตลอดจนให้การลดหย่อนภาษีแก่ผู้ที่สามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐานและเป้าหมาย เป็นต้นปัญหาสำคัญขององค์กรระดับโลกคือเรื่องของการบังคับใช้ข้อตกลงต่าง ๆ ที่ได้กำหนดขึ้นมา เพราะขาดมาตรการในการจูงใจหรือลงโทษประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือ และการขาดทรัพยากรทางการเงินในการสนับสนุนการทำงาน การสร้างให้เกิดประสิทธิผลในการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศเรื่องการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติจึงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับอนาคตของมนุษยชาติ การเสาะแสวงหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อป้องกันภัยิบัติธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลก และความพร้อมในการระดมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ยังคงเป็นคำถามสำคัญองค์กรที่กล่าวไว้ข้างต้นต้องหาคำตอบให้ได้
      สถิติภัยพิบัติย้อนหลัง 10 ปี
      TCIJ 27 มิถุนายน 2557

      สถิติสถานการณ์สาธารณภัยของประเทศไทยที่เกิดขึ้นและผลกระทบในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย, ภัยจากดินโคลน, วาตภัย, อัคคีภัย, ภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย, ภัยจากการคมนาคมและขนส่ง, ภัยแล้ง, ภัยหนาว, ภัยจากไฟป่า, ภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม, ภัยจากคลื่นสึนามิ, ภัยจากโรคระบาดในมนุษย์, ภัยจากโรค แมลง สัตว์ ศัตรูพืชระบาด, ภัยจากโรคระบาดสัตว์์และพืช, ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ, ภัยจากการก่อวินาศกรรม, ภัยจากการชุมนุมประท้วงและการก่อการจลาจล มีดังนี้
      • อุทกภัย ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี และได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อุทกภัยมีสาเหตุจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหาย และในระยะหลังปัญหาอุทกภัยเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น มีมูลค่าความเสียหายสูงมากขึ้น แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • ภัยจากดินโคลน ภัยจากดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในอดีตมีความรุนแรงไม่มากนัก โดยทั่วไปดินโคลนถล่มมักเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเกิดตามมาหลังจากเกิดน้ำป่าไหลหลาก อันเนื่องมาจากพายุฝนที่ทำให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องรุนแรง ส่งผลให้มวลดินและหินไม่สามารถรองรับการอุ้มน้ำได้ จึงเกิดการเคลื่อนตัวตามอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก ปัจจุบันปัญหาดินโคลนถล่มเริ่มเกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยมากขึ้นและมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำการเกษตรในพื้นที่ลาดชันการทำลายหน้าดิน เป็นต้น ส่งผลให้การเกิดปัญหาดินโคลนถล่มเพิ่มมากขึ้น แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • วาตภัย เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อพื้นที่กว้างนับร้อยตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาบริเวณที่ศูนย์กลางของพายุเคลื่อนที่ผ่านจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งความเสียหายมักผันแปรไปตามความรุนแรง เมื่อพายุมีกำลังแรงในชั้นดีเปรสชั่นจะให้เกิดฝนตกหนัก และมักมีอุทกภัยตามมา หากพายุมีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน หรือพายุไต้ฝุ่น จะก่อให้เกิดภัยหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งวาตภัย อุทกภัย และคลื่นพายุซัดฝั่ง ซึ่งเป็นอันตรายและอาจก่อให้เกิดความเสียหายถึงขั้นรุนแรง ทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากได้ สำหรับประเทศไทยได้เกิดภัยพิบัติจากวาตภัยหลายครั้งโดยสถิติการเกิดวาตภัย แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • อัคคีภัย โดยส่วนมากมีสาเหตุมาจากความประมาท ขาดความระมัดระวังหรือพลั้งเผลอ เช่น การเกิดไฟฟ้าลัดวงจร การลุกไหม้จากการระเบิด จากการปรุงอาหารหรือจากการลอบวางเพลิง รายงานด้านอัคคีภัยของฮ่องกงพบว่าประเภทสิ่งปลูกสร้างหรือสถานที่เกิดเพลิงไหม้สูงสุดเกิดในสถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพลิงไหม้ส่วนใหญ่เกิดภายในบ้านเรือน สำหรับประเทศไทยการเก็บรายงานสถิติการเกิดเพลิงไหม้ไม่ได้แยกประเภท สิ่งปลูกสร้างและสาเหตุที่ทำให้เกิดอัคคีภัยไว้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดเพลิงไหม้ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • ภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย ภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมักเกิดขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรม โกดังเก็บสารเคมี และจากการขนส่ง แต่สาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่่จะเป็นการรั่วไหลของสารเคมีและวัตถุอันตรายและการเกิดเพลิงไหม้ โดยสถิติการเกิดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากการคมนาคมและขนส่ง ประเทศไทยอยูในช่วงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยจากการคมนาคมและการขนส่งมากขึ้น และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญในลำดับต้น ๆ ของประชากรของประเทศ รวมทั้งความสูญเสียด้านอื่น ๆ เช่น ความเสียหายต่อครอบครัวและสังคม การสูญเสียค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ การสูญเสียแรงงานของชาติ และเกิดผล
        กระทบด้านจิตใจและเศรษฐกิจของครอบครัว ฯลฯ ซึ่งร้อยละ 90 ของภัยจากการคมนาคมและขนส่ง เกิดจากการใช้รถใช้ถนนอย่างประมาท การทำผิดกฎจราจร และการเมาสุรา สถานการณ์การเกิดภัยจากการคมนาคมและขนส่ง แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยแล้ง ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การขาดแคลนน้ำจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนที่ประกอบอาชีพการเกษตร และจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้ฤดูฝนสั้นขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า ฤดูแล้งจะยาวนานขึ้นและในพื้นที่ตอนบนของประเทศไทยจะมีปริมาณฝนตกน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศมีปริมาณไม่เพียงพอสำหรับประชาชนใช้อุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน สิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมา คือ ภาวะแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำ ทำให้ประชาชนต้องประสบกับความเดือดร้อนในหลายพื้นที่แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ความกดอากาศสูงจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความหนาวเย็นทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่บนภูเขาหรือยอดดอยสูงจะหนาวเย็นมากซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งทำให้เกิดโรคระบาดที่มีสาเหตุมาจากสภาพความหนาวเย็น เช่น โรคติดต่อทางเดินหายใจ โรคไข้หวัดใหญ่่ และโรคระบาดสัตว์ เป็นต้น ส่งผลกระทบให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากไฟป่า ส่วนใหญ่ไฟป่ามักเกิดจากฝีมือมนุษย์ที่ก่อให้เกิดไฟเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง เช่น เพื่อทำการเกษตร เพื่อการล่าสัตว์ และจากความประมาท โดยทิ้งเศษบุหรี่หรือเศษไฟที่ยังไม่ดับให้สนิท สถิติการเกิดไฟไหม้ป่าในประเทศไทยในแต่ละปีมีความถี่ค่อนข้างสูง มีพื้นที่ได้รับความเสียหายมาก แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม ประเทศไทยยังไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แต่ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางในพื้นที่ภาคเหนือ ขนาด 5.6 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์์ 2518 ที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และได้เกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคตะวันตก ขนาด 5.9 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2526 บริเวณแนวรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนั้นในบริเวณภาคตะวันตกและภาคเหนือ ยังมีแผ่นดินไหวที่สามารถรู้สึกได้ปีละประมาณ 5 - 6 ครั้ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างโดยเฉพาะอาคารและบ้านพักอาศัย การตกหล่นของวัตถุในที่สูง สถิติการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากคลื่นสึนามิ ประเทศไทยได้รับผลจากคลื่นสึนามิซึ่งเกิดเป็นครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลครั้งใหญ่ขนาด 9.3 ริกเตอร์ ที่หมู่เกาะสุมาตรา ส่งผลให้้ 11 ประเทศในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 216,000 คน สำหรับประเทศไทยได้รับผลกระทบในเขต 6จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ จังหวัดพังงา กระบี่ ระนอง ภูเก็ต ตรัง และสตูล ส่งผลกระทบให้ประชาชนเสียชีวิตและได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • ภัยจากโรคระบาดในมนุษย์ ในประเทศไทยมีโรคระบาดในมนุษย์ที่สำคัญๆ หลายโรค ทั้งโรคที่ติดต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ โรคระบาดระหว่างมนุษย์และสัตว์ ซึ่งสามารถสรุปสถิติโดยรวม แสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • ภัยจากโรค แมลง สัตว์ ศัตรูพืชระบาด ประเทศไทยประสบปัญหาด้านภัยจากโรค แมลง สัตว์ ศัตรูพืชระบาดเป็นระยะทำให้พืชและผลผลิตการเกษตรเกิดความเสียหาย ในปัจจุบันปัญหามีแนวโน้มมากขึ้นเนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยประกอบกับความผิดปกติของระบบนิเวศทำให้การระบาดของโรค แมลง ศัตรูพืชมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเป็นรายได้สำคัญของประเทศ ตัวอย่างข้อมูลภัยจากโรค แมลงสัตว์ สัตรูพืชระบาดแสดงดังตารางด้านล่างนี้
      • ภัยจากโรคระบาดสัตว์์และพืช
        o การเกิดโรคระบาดในสัตว์์เลี้ยงประเภทต่าง ๆ เช่น โค กระบือ สุกร ไก่ และเป็ด เป็นต้น ซึ่งโอกาสการเกิดขึ้นน้อยมากและสามารถควบคุมการระบาดไม่ให้แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยสถิติสัตว์ที่ตายจากโรคระบาดสัตว์ที่สำคัญของกรมปศุสัตว์ แสดงดังตารางด้านล่างo การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก พบครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 โดยสายพันธุ์ที่ตรวจพบเป็นชนิด H5N1 ทั้งนี้พบการแพร่ระบาดตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2547 – 2551 ในหลายครั้ง แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศได้ก้าวเข้ามาในชีวิตประจำของมนุษย์มากขึ้น ทั้งในระดับบุคคลองค์กร จนถึงระดับชาติ จากการใช้ประโยชน์ต่างๆ ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการสื่อสาร การทำธุรกรรม และสังคม ในปัจจุบันภัยคุกคามทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้เพิ่มมากขึ้นและพัฒนาไปในหลากหลายรูปแบบ เช่น การโจมตีระบบระดับฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์หรือระบบการติดต่อสื่อสาร การโจรกรรมข้อมูล การล่อลวง การปลอมแปลง การทำลายภาพลักษณ์ชื่อเสียง ตลอดจนการทำลายระบบควบคุมด้านสาธารณูปโภคที่สำคัญต่างทำให้เกิดผลกระทบตั้งแต่ระดับเล็กจนถึงระดับชาติได้ ภัยคุกคามเหล่านี้ทำให้ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงินของเจ้าของตกอยู่ในความเสี่ยง จากสถิติการแพร่กระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์จากอดีตที่เริ่มค้นพบไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรก เมื่อ 25 ปีก่อน พบว่าในปี พ.ศ. 2544 – 2545 มีภัยคุกคามด้านอินเตอร์เน็ตจากไวรัส ประมาณ 20,000 ตัว และในปี พ.ศ. 2551 มีภัยคุกคามใหม่ ๆเกิดขึ้นมากกว่า 1,600,000 ตัว นอกจากนี้ยังพบเหตุการ์ภัยการเจาะเข้าสู่ระบบและขโมยข้อมูลเพิ่มขึ้นทุกวันในประเทศไทย
      • ภัยจากการก่อวินาศกรรม การก่อวินาศกรรมในประเทศไทยมีอยู่เป็นระยะเนื่องจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ สังคม และศาสนา รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางกับภูมิภาคเพิ่มความรุนแรงจนมีการก่อวินาศกรรมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้อย่างต่อเนื่อง การก่อวินาศกรรมภัยมุ่งเน้นเพื่อทำลายทรัพย์สิน วัสดุ อาคาร สถานที่ ยุทธปัจจัย สาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก หรือรบกวน ขัดขวาง หน่วงเหนี่ยวระบบการปฏิบัติงานใด ๆ รวมทั้งการประทุษร้ายต่อบุคคลซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ด้วยความมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดผลร้ายต่อความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ประเทศไทยมีการก่อวินาศกรรมอย่างต่อเนื่องและมีความรุนแรงยิ่งขึ้น สถานการณ์การก่อวินาศกรรม แสดงดังตารางด้านล่าง
      • ภัยจากการชุมนุมประท้วงและการก่อการจลาจล เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ทำให้มีการการสลายการชุมนุม ไปจนถึงเหตุการณ์การก่อการจลาจล ภายหลังสลายการชุมนุม การทำลายสถานที่ราชการ การเผาศาลากลางในหลายจังหวัด การวางเพลิงแหล่งธุรกิจ อาคารที่ทำการสื่อมวลชล การไฟฟ้านครหลวง คลองเตย และการวางเพลิงในอีกหลายพื้นที่ที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ผลสำรวจความเสียหายของระบบเศรษฐกิจสูงถึง 150,000 – 300,000 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว (ที่มา : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย) เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นภาวะที่ไม่ปกติ ซึ่งมีความยากลำบากในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จากแต่ละหน่วยงาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิต อันเป็นเหตุให้้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของกระบวนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านความมั่นคง
      ********************************
      ที่มาเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
      ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.isranews.org/

      ป้ายคำ :    ภัยพิบัติ  
         
        
                                                                   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น